ฉายา พระนอกรีดอูรุจ
(MADMONK UROUGE)
ค่าหัววันพีช 108,000,000
อายุ 45+2 ปี/1 สิงหาคม
- เกิดที่เกาะแห่งท้องฟ้า
- เกิดที่เกาะแห่งท้องฟ้า
ส่วนสูง 388 cm.
ตำแหน่ง กัปตันกลุ่มพระปิศาจ(Fallen Monk Pirate)
อาวุธ กำปั้นเหล็กและการขยายกล้ามเนื้อ
- อันดับ 11 ซุปเปอร์โนว่า/ลุคกี้ยุคสมัยที่เลวร้ายที่สุด
★★ THE ELEVEN SUPERNOVAS ★★
ผลปีศาจ ......
อาวุธ กำปั้นเหล็กและการขยายกล้ามเนื้อ
- อันดับ 11 ซุปเปอร์โนว่า/ลุคกี้ยุคสมัยที่เลวร้ายที่สุด
★★ THE ELEVEN SUPERNOVAS ★★
ผลปีศาจ ......
ลูกเรือ ---
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ชาวท้องฟ้า
ประวัติ.พระปริศนา" อุรูจ(Urouge Mad Monk) มีความโดดเด่นอยู่ที่รูปร่างที่ดูใหญ่โตทั้งกล้ามเนื้อและความสูงตัดผมเกรียนในแบบพระสงฆ์ ไว้เคราที่ยาวไปถึงคอและ มีลักษณะพิเศษที่ได้มาจากเผ่าพันธ์ชาวท้องฟ้าคือมีปีกสีขาวอยู่ที่หลัง แต่งกายในแบบพิเศษคล้ายพระด้วยการสวมอาภรยาวถึงพื้นสวมเสื้อยาวปกปิดรอยสักที่มีลักษณะคล้ายเปลวเพลิง นิสัยของเค้าแม้ว่าจะถูกเรียกว่าพระและดูน่าจะรักสงบแต่อุรูจกลับไม่รักสงบชอบการต่อสู้และทะเลาะวิวาท ชอบยิ้มเสมอแม้ขณะต่อสู้
- ชื่อของ อุรูจ มาจากชื่อของโจรสลัดอาหรับที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในอดีต ในศตรวรรษที่ 16ช่วงปี 1474-1518 มีชื่อว่า อุรูจ-เคราแดง(Oruc Reis)
►เปิดตำนานโจรสลัดโลกอาหรับจ้าวแห่งทะเลทรายกับเค้าค้นนี้ บาบารอสซ่าไอ้เคราแดง สุดยอดโจรสลัดที่ทำเอาทั่วยุโรปปั่นป่วนกันไปทั่ว◄
พระปริศนา" อุรูจ - Urouge Mad Monk |
เราต้องสัมผัสกับมันด้วยตัวเอง..ไม่ว่าจะเจ็บหรือตายก็ตาม.. "
ปรากฏตัวครั้งแรกบนหมู่เกาะซาบอดี้โดยเค้ากำลังสู้อยู่กับนักฆ่า คิงเลอร์แห่งกลุ่มโจรสลัดคิดส์ แต่สู้กันได้ไม่นานก็ถูกขัดจังหวะโดยกัปตันเดรค เอ็ก หลังจากที่ลูฟี่ซัดพวกเท็นริวพวกโจรสลัดส่วนใหญ่เห็นว่าลูฟี่ทำไม่ถูกเพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกทหารเรือแห่กันมาที่ซาบอนดี้แต่สำหรับ อุรูจเค้ากับสะใจกับเหตุการครั้งนี้ยิ่งกว่าใครและดูเหมือนว่าเค้าจะเป็นมิตรกับพวกของลูฟี่มากที่สุดในบรรดาลุคกี้ทั้งหมด
กัปตันกลุ่มโจร สลัดพระปิศาจ The Fallen Monk จากทะเลแสนขาว(ทะเลแห่งท้องฟ้า)ในแกรนด์ไลน์ แม้ประวัติของอูรูจจะยังเป็นปริศนาแต่เชื่อได้ว่าเขามาจากเกาะอื่นที่ไม่ใช่ สกายเปียที่พวกลูฟี่เคยขึ้นไป พลังของอูรูจคือการขยายกล้ามเนื้อซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นพลังของผลปีศาจ หรือไม่ รวมถึงท่าไม้ตาย "ผลแห่งกรรมชั่ว" ท่าหมัดขจัดตัณหา อิน-งะ-ซะ-ระ-ชิ(因果晒し, Inga Zarashi ) ซึ่งเป็นหมัดที่ซัดใส่ร่างดัมมี่ของคุมะจนกระเด็นด้วย
...............................
【】นอกเรื่องวันพีชความรู้รอบตัว【】
เปิดตำนาน โจรสลัดแห่งโลกอาหรับผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดจวบจนปัจจุบัน จอมโจรบาบะ บาบารอสซ่า/Barbarossa II
บาบารอสซ่า ( Barbarossa) ในสมัยโบราณชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวอาหรับและนักเดินเรือ พวกเค้าเป็นพี่น้องแห่ง
กองทัพเรือ Ottoman โดยในยุคสมัยนั้นผู้ที่ได้รับตำแหน่ง Privateer เช่น
Barbarossa จะมีอิสระในการค้าขายทั่วราชอาณาจกัรที่ตนเองสังกัด
ขอเพียงทำหน้าที่ป้องกันเมืองและโจมตีเรือศัตรูไปพร้อมกันด้วย
ดังนั้นวีรบุรุษของประเทศหนึ่งจึงเป็นโจรสลัดของอีกประเทศหนึ่งนั่นเอง
สำหรับ Barbarossa เป็นสมญานาม Barbarossa คนพี่ชื่อว่า Oruc (มักเรียกว่า Baba Oruc) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง ปี 1474 -1518 ส่วนคนน้องชื่อว่า Heyreddin Pasha ซึ่งหลังจาก Oruc เสีย
ชีวิตลงน้องชายของเขาก็ได้สืบต่อสมญานาม Barbarossa ต่อมา
ทั้งสองเกิดบนเกาะ Lesbos เป็นบุตรของ ยาค็อบและคาทาริน่า
ครอบครัวมีพี่น้อง 6 คน หญิง2และชาย4 สองพี่น้องบาบารอสซ่าเป็นบุตรคนที่ 2
และ 3 โดยมีหัวเรือหลักในการช่วยกิจจการของครอบครัวเป็นลูกชายทั้ง 4
ในการขนส่งสินค้าไปขายทางเรือ ตำนาน บาบารอสซ่า อูรูจ (Babarossa Oruc –
Baba Oruc)
Baba Oruc - Oruc |
ช่วงปี 1500 โดยประมาณ Oruc และน้องคนเล็ก IIyas เริ่มขยายเส้นทางการเดินเรือไปไกลจนถึงทะเล อีเจียน
แม้ว่า Oruc
จะพยายามสุดความสามรถทั้งด้านการเดินเรือและการฝึกภาษาที่จำเป็นทั้ง อิตาลี
,สเปน ,ฝรั่งเศส
แต่ด้วยเส้นทางเดินเรือที่เปิดกว้างทำให้มีบ่อยครั้งต้องปะทะกับเรือสัญชาติ
อื่นจนในที่สุด IIyas
น้องคนเล็กก็ถูกฆ่าโดยอัศวินของศาสนจักรเรือของพวกเค้าถูกทำลายส่วนตัว Oruc
ถูกจับเป็นเชลยและถูกคุมขัง นานกว่า 3 ปี จนกะทั่งน้องชายคนที่3
ซาราดินสืบรู้ที่คุมขังพี่ชายของเค้าและเดินทางไปช่วยออกมาได้หลังจากนั้น
พวกเค้าได้หลบหนีไปยัง อันตัลยา อาณาจักรออตโตมัน
และได้รับหน้าที่สำคัญจากเจ้าชาย Shehzade
ให้ช่วยว่าการคอยให้คำปรึกษาในการรับมือกับ ทัพเรือของศาสนจักร
ในปี 1504 Oruc พร้อมด้วยน้องของเค้าและเรือ 3 ลำ เดินทางไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและ
ได้ติดต่อกับสุลต่านจาก ตูนิเซีนเพื่อขอใช้พอร์ต La Goulette
เพื่อขนส่งสินค้าและตั้งเป็นท่าเรือโดยเสนอให้แบ่งผลกำไรให้ 1 ใน 3
ในช่วงปี 1509 พี่ชายคนโต Ishak
ได้เข้าร่วมกับน้องชายทั้งสองของเค้าที่พอร์ต La Goulette
ความแข็งแกร่งและเกรียงไกลของทั้งสามยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆจนได้รับฉายาใน
หมู่ชาวสเปนและอิตาลีว่า บาบารอสซ่าที่ แปลว่า เคราแดง(Red Bedbeard)
ในปี 1510 – 1514 สามพี่น้องเริ่มบุกเข้าโจมตีท่าเรือทางใต้ของอิตาลี
และเริ่มขับไล่พวกสเปน จากดินแดนในอาณาคม ในหลายพื้นที่
การต่อสู้ของทั้งสามพี่น้องเพื่อปลดปล่อยดินแดนในอาณานิคมของพวกสเปน
เริ่มยากลำมากขึ้นเมื่อ Oruc
ต้องเสียแขนข้างหนึ่งไปขณะการรบจนได้ฉายาใหม่ว่า (แขนเงิน - Silver Arm)
ในปี 1516 ทั้งสามเข้าโจมตีป้อมปราการใหญ่ของสเปนในแอลเจียและ
สามารถยึดปราสาทมาเป็นของพวกตนได้สำเร็จและตั้งตนเป็นสุลต่านแห่งแอลเจีย
ทำให้พวกสเปนจำเป็นต้องหาพันธมิตรใหม่ในการรับศึกนี้ โดยพระเจ้า ชาร์ลส์
ที่5 (Charles V) แห่งสเปนได้ส่งสารไปขอความช่วยเหลือจากจักพรรดิโรมัน
เมื่อทราบข่าวถึงกองทัพร่วมของพวกสเปนที่กำลังยกทัพมาถึง Oruc
และพี่น้องจำเป็นต้องหาทางรับมือศึกในครั้งโดยมองว่าศึกนี้เป็นศึกครั้งใหญ่
ที่มี ศาสนาเป็นเดิมพันธ์การพ่ายแพ้เป็นเรื่องที่ต้องไม่เกิดขึ้น
พวกเค้าจึงยอมสละเมืองและตำแหน่งของตนเพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ
อาณาจักรออตโตมันเพื่อให้ได้กำลังทหารและปืนใหญ่ในการคุ้มกันเมือง
ในปี 1518 พฤษภาคม ศึกครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นปะทุขึ้น
จักรพรรดิ ชาร์ลส์ที่ 5 แห่งสเปนคุมกองทัพ กว่า 10,000 คน เดินทางมาถึง
Oran และเดินเท้าต่อมาจนถึงป้อมปราการของ Tlemcen ที่ซึ่ง Oruc
และพี่ชายคนโต Ishak ตั้งมั่นอยู่โดยมีกำลังทหารภายในป้อมเป็นชาว ตุรกี
5,000 คน และแขกมัวร์อีก 1,500 คน
แต่ด้วยกำลังที่น้อยกว่าครึ่งพวกเค้าต้านการบุกอย่างหนักหน่วงได้เพียง 20
วันป้อมก็แตกทุกคนถูกฆ่าตายหมดรวมทั้งสองพี่น้องด้วยโดยภายหลังการตายของผู้
เป็นพี่ ตำแหน่งของผู้เป็นพี่ Oruc ถูกสืบต่อไปยัง
น้องชายคนที่สามซึ่งเป็นคนสุดท้ายของตระกูล ในชื่อ “มหาอำมาตย์แห่งแอเจีย ฮาริดดิน บาบารอสซ่า”
Heyreddin Pasha |
ฮาริดดิน (Heyreddin) ในวัยย่าง 40 ปี
หลังผ่านศึกกับพวกสเปนในปี 1518
ซึ่งในครั้งนั้นเค้าต้องเสียพี่ชายทั้งสองไปในสงครามและต้องเสีย
แอลเจียให้พวกสเปนไปแม้ตัวเค้าจะสามารถหนีรอดไปได้
แต่ก็แค้นใจอยู่มากจึงรวบรวมไพร่พลกลับมาตีเอาแอลเจียคืนกลับมาได้ในเวลา
เพียงไม่นานนัก และ ได้ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งแอลเจียอย่างเต็มตัว ในปี
1518 นั่นเองหลังจากที่พี่น้องทั้งสามของ ซาราดิน
เสียชีวิตไปหมดแล้วจากฝีมือของพวกคริสเตียน
ความโกรธแค้นในใจยังคงครุกรุ่นไม่เสื่อมครายโดยมีความมุ่งมั่นหลักในการปลด
ปล่อยดินแดนของพวกมุสลิมให้พ้นจากพวกตะวันตกให้ได้
ช่วงปี 1518 – 1540 เป็นช่วงปีที่ชื่อของซาราดิน โด่งดังเป็นอย่างมากจากความสำเร็จใน
การปลดปล่อยดินแดนของชาวมุสลิมในหลายพื้นที่ และยังเข้าโจมตีเมืองในยุโรป
นับ 10 แห่ง ทั้งสเปน อิตาลีและทางใต้ของฝรั่งเศสอยู่หลายครั้ง
จนเป็นที่หวั่นเกรงกันไปทั่วทั้งยุโรป
จนถูกชักชวนจากกษัตริย์ในหลายประเทศให้เข้าสวามิภักดิ์
แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เค้าจะคิดไตร่ตรองถึงข้อเสนอ
เพราะความจงรักภักดีที่มีต่อจักวรรดิออตโตมัน
เอย่างไม่เสื่อมคลายค้าจึงปฏิเสธทุกครั้ง
ในปี 1541 การรบที่ยืดเยื้อ ระหว่าง ซาราดินและอาณาจักรสเปนเริ่มบานปลาย
จนกกษัตริย์ ชาลร์สที่ 5 จากสเปน
ยื่นข้อเสนอครั้งใหญ่เพื่อให้ซาราดินกลับข้างมาอยู่ฝ่ายสเปน โดยแลกกับ
ตำแหน่งพลเรือตรีและให้ยกดินแดนในทวีปแอฟริกาให้เค้าปกครอง
แต่ก็ถูกปฏิเสธอีก
ในช่วงบั้นปลายชีวิต ในปี 1545 ซาราดินใช้ชีวิตอย่างสงบในคอนสแตนติน โดยส่งมอบตำแหน่งและบรรดาศักดิ์ทั้งหมดที่มีให้กับลูกชาย ฮาซาน ปาชา(Hasan Pasha)
เป็นผู้สืบทอดต่อ ส่วนตัวเค้าเองใช้เวลาว่างเขียนชีวประวัติของเค้าเอง
เป็นหนังสือจำนวนหลายเล่ม
แต่หลังจากนั้นเพียงปีเดียวซาราดินกก็เสียชีวิตในพระราชวังริมทะเลทราบใกล้
อิสตันบลู
............................