SUPERNOVAS วันพีช_อุรูจ_Urouge ★ ウルージ

WANTED Supernovas Urouge
http://pirateonepiece.blogspot.com/search/label/11%20SUPERNOVAฉายา พระนอกรีดอูรุจ
(MADMONK UROUGE)
ค่าหัววันพีช 108,000,000

อายุ  45+2 ปี/1 สิงหาคม
- เกิดที่เกาะแห่งท้องฟ้า 
ส่วนสูง 388 cm.
ตำแหน่ง กัปตันกลุ่มพระปิศาจ(Fallen Monk Pirate) 
 อาวุธ กำปั้นเหล็กและการขยายกล้ามเนื้อ
- อันดับ 11 ซุปเปอร์โนว่า/ลุคกี้ยุคสมัยที่เลวร้ายที่สุด
  THE ELEVEN SUPERNOVAS  
 ผลปีศาจ ......
ลูกเรือ ---
เผ่าพันธุ์ มนุษย์ชาวท้องฟ้า

             ประวัติ.พระปริศนา" อุรูจ(Urouge Mad Monk) มีความโดดเด่นอยู่ที่รูปร่างที่ดูใหญ่โตทั้งกล้ามเนื้อและความสูงตัดผมเกรียนในแบบพระสงฆ์ ไว้เคราที่ยาวไปถึงคอและ มีลักษณะพิเศษที่ได้มาจากเผ่าพันธ์ชาวท้องฟ้าคือมีปีกสีขาวอยู่ที่หลัง แต่งกายในแบบพิเศษคล้ายพระด้วยการสวมอาภรยาวถึงพื้นสวมเสื้อยาวปกปิดรอยสักที่มีลักษณะคล้ายเปลวเพลิง นิสัยของเค้าแม้ว่าจะถูกเรียกว่าพระและดูน่าจะรักสงบแต่อุรูจกลับไม่รักสงบชอบการต่อสู้และทะเลาะวิวาท ชอบยิ้มเสมอแม้ขณะต่อสู้
       - ชื่อของ อุรูจ มาจากชื่อของโจรสลัดอาหรับที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในอดีต ในศตรวรรษที่ 16ช่วงปี 1474-1518 มีชื่อว่า อุรูจ-เคราแดง(Oruc Reis)






พระปริศนา" อุรูจ - Urouge Mad Monk
"บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้  
เราต้องสัมผัสกับมันด้วยตัวเอง..ไม่ว่าจะเจ็บหรือตายก็ตาม.. "

            กัปตันกลุ่มโจร สลัดพระปิศาจ The Fallen Monk จากทะเลแสนขาว(ทะเลแห่งท้องฟ้า)ในแกรนด์ไลน์ แม้ประวัติของอูรูจจะยังเป็นปริศนาแต่เชื่อได้ว่าเขามาจากเกาะอื่นที่ไม่ใช่ สกายเปียที่พวกลูฟี่เคยขึ้นไป พลังของอูรูจคือการขยายกล้ามเนื้อซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าเป็นพลังของผลปีศาจ หรือไม่ รวมถึงท่าไม้ตาย "ผลแห่งกรรมชั่ว" ท่าหมัดขจัดตัณหา อิน-งะ-ซะ-ระ-ชิ(因果晒し, Inga Zarashi ) ซึ่งเป็นหมัดที่ซัดใส่ร่างดัมมี่ของคุมะจนกระเด็นด้วย
            ปรากฏตัวครั้งแรกบนหมู่เกาะซาบอดี้โดยเค้ากำลังสู้อยู่กับนักฆ่า คิงเลอร์แห่งกลุ่มโจรสลัดคิดส์ แต่สู้กันได้ไม่นานก็ถูกขัดจังหวะโดยกัปตันเดรค เอ็ก หลังจากที่ลูฟี่ซัดพวกเท็นริวพวกโจรสลัดส่วนใหญ่เห็นว่าลูฟี่ทำไม่ถูกเพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกทหารเรือแห่กันมาที่ซาบอนดี้แต่สำหรับ อุรูจเค้ากับสะใจกับเหตุการครั้งนี้ยิ่งกว่าใครและดูเหมือนว่าเค้าจะเป็นมิตรกับพวกของลูฟี่มากที่สุดในบรรดาลุคกี้ทั้งหมด
...............................

【】นอกเรื่องวันพีชความรู้รอบตัว【】
     เปิดตำนาน โจรสลัดแห่งโลกอาหรับผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดจวบจนปัจจุบัน จอมโจรบาบะ บาบารอสซ่า/Barbarossa II

                  บาบารอสซ่า ( Barbarossa) ในสมัยโบราณชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวอาหรับและนักเดินเรือ   พวกเค้าเป็นพี่น้องแห่ง กองทัพเรือ Ottoman โดยในยุคสมัยนั้นผู้ที่ได้รับตำแหน่ง Privateer เช่น Barbarossa จะมีอิสระในการค้าขายทั่วราชอาณาจกัรที่ตนเองสังกัด ขอเพียงทำหน้าที่ป้องกันเมืองและโจมตีเรือศัตรูไปพร้อมกันด้วย ดังนั้นวีรบุรุษของประเทศหนึ่งจึงเป็นโจรสลัดของอีกประเทศหนึ่งนั่นเอง สำหรับ Barbarossa เป็นสมญานาม Barbarossa คนพี่ชื่อว่า Oruc (มักเรียกว่า Baba Oruc) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง ปี 1474 -1518 ส่วนคนน้องชื่อว่า Heyreddin Pasha ซึ่งหลังจาก Oruc เสีย ชีวิตลงน้องชายของเขาก็ได้สืบต่อสมญานาม Barbarossa ต่อมา  ทั้งสองเกิดบนเกาะ Lesbos เป็นบุตรของ ยาค็อบและคาทาริน่า ครอบครัวมีพี่น้อง 6 คน หญิง2และชาย4   สองพี่น้องบาบารอสซ่าเป็นบุตรคนที่ 2 และ 3  โดยมีหัวเรือหลักในการช่วยกิจจการของครอบครัวเป็นลูกชายทั้ง 4 ในการขนส่งสินค้าไปขายทางเรือ  ตำนาน บาบารอสซ่า อูรูจ (Babarossa Oruc – Baba Oruc)

Baba Oruc - Oruc
               ช่วงปี  1500 โดยประมาณ   Oruc และน้องคนเล็ก IIyas  เริ่มขยายเส้นทางการเดินเรือไปไกลจนถึงทะเล อีเจียน  แม้ว่า Oruc จะพยายามสุดความสามรถทั้งด้านการเดินเรือและการฝึกภาษาที่จำเป็นทั้ง อิตาลี ,สเปน ,ฝรั่งเศส แต่ด้วยเส้นทางเดินเรือที่เปิดกว้างทำให้มีบ่อยครั้งต้องปะทะกับเรือสัญชาติ อื่นจนในที่สุด IIyas น้องคนเล็กก็ถูกฆ่าโดยอัศวินของศาสนจักรเรือของพวกเค้าถูกทำลายส่วนตัว Oruc ถูกจับเป็นเชลยและถูกคุมขัง นานกว่า 3 ปี จนกะทั่งน้องชายคนที่3 ซาราดินสืบรู้ที่คุมขังพี่ชายของเค้าและเดินทางไปช่วยออกมาได้หลังจากนั้น พวกเค้าได้หลบหนีไปยัง อันตัลยา  อาณาจักรออตโตมัน และได้รับหน้าที่สำคัญจากเจ้าชาย Shehzade ให้ช่วยว่าการคอยให้คำปรึกษาในการรับมือกับ ทัพเรือของศาสนจักร
                ในปี 1504 Oruc พร้อมด้วยน้องของเค้าและเรือ 3 ลำ เดินทางไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและ ได้ติดต่อกับสุลต่านจาก ตูนิเซีนเพื่อขอใช้พอร์ต La Goulette เพื่อขนส่งสินค้าและตั้งเป็นท่าเรือโดยเสนอให้แบ่งผลกำไรให้ 1 ใน 3 ในช่วงปี 1509 พี่ชายคนโต Ishak ได้เข้าร่วมกับน้องชายทั้งสองของเค้าที่พอร์ต La Goulette ความแข็งแกร่งและเกรียงไกลของทั้งสามยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆจนได้รับฉายาใน หมู่ชาวสเปนและอิตาลีว่า บาบารอสซ่าที่ แปลว่า เคราแดง(Red Bedbeard)
               ในปี 1510 – 1514  สามพี่น้องเริ่มบุกเข้าโจมตีท่าเรือทางใต้ของอิตาลี และเริ่มขับไล่พวกสเปน จากดินแดนในอาณาคม ในหลายพื้นที่  การต่อสู้ของทั้งสามพี่น้องเพื่อปลดปล่อยดินแดนในอาณานิคมของพวกสเปน เริ่มยากลำมากขึ้นเมื่อ  Oruc ต้องเสียแขนข้างหนึ่งไปขณะการรบจนได้ฉายาใหม่ว่า (แขนเงิน - Silver Arm)
                ในปี 1516   ทั้งสามเข้าโจมตีป้อมปราการใหญ่ของสเปนในแอลเจียและ สามารถยึดปราสาทมาเป็นของพวกตนได้สำเร็จและตั้งตนเป็นสุลต่านแห่งแอลเจีย  ทำให้พวกสเปนจำเป็นต้องหาพันธมิตรใหม่ในการรับศึกนี้ โดยพระเจ้า ชาร์ลส์ ที่5 (Charles V) แห่งสเปนได้ส่งสารไปขอความช่วยเหลือจากจักพรรดิโรมัน  เมื่อทราบข่าวถึงกองทัพร่วมของพวกสเปนที่กำลังยกทัพมาถึง Oruc และพี่น้องจำเป็นต้องหาทางรับมือศึกในครั้งโดยมองว่าศึกนี้เป็นศึกครั้งใหญ่ ที่มี ศาสนาเป็นเดิมพันธ์การพ่ายแพ้เป็นเรื่องที่ต้องไม่เกิดขึ้น พวกเค้าจึงยอมสละเมืองและตำแหน่งของตนเพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรออตโตมันเพื่อให้ได้กำลังทหารและปืนใหญ่ในการคุ้มกันเมือง
              ในปี 1518 พฤษภาคม  ศึกครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นปะทุขึ้น  จักรพรรดิ ชาร์ลส์ที่ 5 แห่งสเปนคุมกองทัพ กว่า 10,000  คน เดินทางมาถึง  Oran และเดินเท้าต่อมาจนถึงป้อมปราการของ Tlemcen ที่ซึ่ง Oruc และพี่ชายคนโต Ishak ตั้งมั่นอยู่โดยมีกำลังทหารภายในป้อมเป็นชาว ตุรกี 5,000 คน และแขกมัวร์อีก 1,500 คน  แต่ด้วยกำลังที่น้อยกว่าครึ่งพวกเค้าต้านการบุกอย่างหนักหน่วงได้เพียง 20 วันป้อมก็แตกทุกคนถูกฆ่าตายหมดรวมทั้งสองพี่น้องด้วยโดยภายหลังการตายของผู้ เป็นพี่ ตำแหน่งของผู้เป็นพี่ Oruc    ถูกสืบต่อไปยัง น้องชายคนที่สามซึ่งเป็นคนสุดท้ายของตระกูล ในชื่อ  “มหาอำมาตย์แห่งแอเจีย ฮาริดดิน บาบารอสซ่า” 

Heyreddin Pasha
               ฮาริดดิน (Heyreddin) ในวัยย่าง 40 ปี หลังผ่านศึกกับพวกสเปนในปี 1518 ซึ่งในครั้งนั้นเค้าต้องเสียพี่ชายทั้งสองไปในสงครามและต้องเสีย แอลเจียให้พวกสเปนไปแม้ตัวเค้าจะสามารถหนีรอดไปได้ แต่ก็แค้นใจอยู่มากจึงรวบรวมไพร่พลกลับมาตีเอาแอลเจียคืนกลับมาได้ในเวลา เพียงไม่นานนัก และ ได้ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งแอลเจียอย่างเต็มตัว ในปี 1518  นั่นเองหลังจากที่พี่น้องทั้งสามของ ซาราดิน เสียชีวิตไปหมดแล้วจากฝีมือของพวกคริสเตียน ความโกรธแค้นในใจยังคงครุกรุ่นไม่เสื่อมครายโดยมีความมุ่งมั่นหลักในการปลด ปล่อยดินแดนของพวกมุสลิมให้พ้นจากพวกตะวันตกให้ได้
            ช่วงปี  1518 – 1540  เป็นช่วงปีที่ชื่อของซาราดิน โด่งดังเป็นอย่างมากจากความสำเร็จใน การปลดปล่อยดินแดนของชาวมุสลิมในหลายพื้นที่ และยังเข้าโจมตีเมืองในยุโรป นับ 10  แห่ง  ทั้งสเปน อิตาลีและทางใต้ของฝรั่งเศสอยู่หลายครั้ง จนเป็นที่หวั่นเกรงกันไปทั่วทั้งยุโรป  จนถูกชักชวนจากกษัตริย์ในหลายประเทศให้เข้าสวามิภักดิ์ แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เค้าจะคิดไตร่ตรองถึงข้อเสนอ เพราะความจงรักภักดีที่มีต่อจักวรรดิออตโตมัน เอย่างไม่เสื่อมคลายค้าจึงปฏิเสธทุกครั้ง
            ในปี 1541  การรบที่ยืดเยื้อ ระหว่าง ซาราดินและอาณาจักรสเปนเริ่มบานปลาย จนกกษัตริย์  ชาลร์สที่ 5 จากสเปน ยื่นข้อเสนอครั้งใหญ่เพื่อให้ซาราดินกลับข้างมาอยู่ฝ่ายสเปน โดยแลกกับ ตำแหน่งพลเรือตรีและให้ยกดินแดนในทวีปแอฟริกาให้เค้าปกครอง แต่ก็ถูกปฏิเสธอีก
               ในช่วงบั้นปลายชีวิต ในปี 1545   ซาราดินใช้ชีวิตอย่างสงบในคอนสแตนติน โดยส่งมอบตำแหน่งและบรรดาศักดิ์ทั้งหมดที่มีให้กับลูกชาย ฮาซาน ปาชา(Hasan Pasha) เป็นผู้สืบทอดต่อ    ส่วนตัวเค้าเองใช้เวลาว่างเขียนชีวประวัติของเค้าเอง  เป็นหนังสือจำนวนหลายเล่ม แต่หลังจากนั้นเพียงปีเดียวซาราดินกก็เสียชีวิตในพระราชวังริมทะเลทราบใกล้ อิสตันบลู
............................

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น