ค่าหัววันพีช ประมาณ 11,000,000 เบรี
อายุ ---
- เกิดในแกรนต์ไล ( Grandline)
- บนเกาะแซนดี้ (Sandy Island)
- เกิดในแกรนต์ไล ( Grandline)
- บนเกาะแซนดี้ (Sandy Island)
ส่วนสูง 225 Cm.
เรือ ---
ตำแหน่ง กลุ่มโจรสลัดทะเลทราย บาบา( Barbar Pirates)
ผลปีศาจ ---
อาวุธ ---
ครอบครัว ลาซา(Rasa) ,ซาบา(Zaba)
เผ่าพันธุ์ มนุษย์
บาบารอสซ่า (Barbarossa) เป็นโจรสลัดที่มีรูปร่างใหญ่โต ปากกว้าง ไว้หนวดเครารกรุงรังและมีคิ้วหนาที่ดูตลก มีจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์คือการที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มที่มีร่มสีแดงขนาดเล็กติดไว้บนหัวอยู่ตลอดเวลา บาบะสวมใส่เสื้อผ้าในแบบชาวทะเลทรายคือการสวมเสื้อหลายชั้นผ้าปกคลุมตั้งแต่หัวจรดเท้าเพื่อกันแสงแดดไม่ให้เผาผิวหนังและเพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายคายน้ำมากเกินไป นิสัยของเค้าแน่นอนไม่ชอบการต่อสู้รักสนุก ชอบเสียงหัวเราะและเรื่องตลก
- ชื่อบาบารอสซ่าในสมัยโบราณเป็นชื่อยศผู้สำเร็จราชการในยุค อ็อตโตมัน ในภาษาละตินและอิตตาลีแปลว่า เคราแดง(red beard)
- ชื่อบาบารอสซ่ามาจากชื่อสองพี่น้องโจรสลัดชื่อดังในอดีตนาม OrucและPasha Barbarossa ฉายา ไอ้เคราแดงเป็นชาวตูรกี มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 15
..........................
【】 เปิดตำนานโจรสลัดโลกอาหรับจ้าวแห่งทะเลทรายกับเค้าค้นนี้ บาบารอสซ่าไอ้เคราแดง สุดยอดโจรสลัดที่ทำเอาทั่วยุโรปปั่นป่วนกันไปทั่ว 【】
【】 เปิดตำนานโจรสลัดโลกอาหรับจ้าวแห่งทะเลทรายกับเค้าค้นนี้ บาบารอสซ่าไอ้เคราแดง สุดยอดโจรสลัดที่ทำเอาทั่วยุโรปปั่นป่วนกันไปทั่ว 【】
โจรสลัดร่ม บาบารอสซ่า - Barbarossa |
.....................
【】นอกเรื่องวันพีชความรู้รอบตัว【】
เปิดตำนาน โจรสลัดแห่งโลกอาหรับผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดจวบจนปัจจุบัน จอมโจรบาบะ บาบารอสซ่า/Barbarossa II
บาบารอสซ่า ( Barbarossa) ในสมัยโบราณชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวอาหรับและนักเดินเรือ พวกเค้าเป็นพี่น้องแห่งกองทัพเรือ Ottoman โดยในยุคสมัยนั้นผู้ที่ได้รับตำแหน่ง Privateer เช่น Barbarossa จะมีอิสระในการค้าขายทั่วราชอาณาจกัรที่ตนเองสังกัด ขอเพียงทำหน้าที่ป้องกันเมืองและโจมตีเรือศัตรูไปพร้อมกันด้วย ดังนั้นวีรบุรุษของประเทศหนึ่งจึงเป็นโจรสลัดของอีกประเทศหนึ่งนั่นเอง สำหรับ Barbarossa เป็นสมญานาม Barbarossa คนพี่ชื่อว่า Oruc (มักเรียกว่า Baba Oruc) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วง ปี 1474 -1518 ส่วนคนน้องชื่อว่า Heyreddin Pasha ซึ่งหลังจาก Oruc เสียชีวิตลงน้องชายของเขาก็ได้สืบต่อสมญานาม Barbarossa ต่อมา ทั้งสองเกิดบนเกาะ Lesbos เป็นบุตรของ ยาค็อบและคาทาริน่า ครอบครัวมีพี่น้อง 6 คน หญิง2และชาย4 สองพี่น้องบาบารอสซ่าเป็นบุตรคนที่ 2 และ 3 โดยมีหัวเรือหลักในการช่วยกิจจการของครอบครัวเป็นลูกชายทั้ง 4 ในการขนส่งสินค้าไปขายทางเรือ ตำนาน บาบารอสซ่า อูรูจ (Babarossa Oruc – Baba Oruc)
Baba Oruc - Oruc |
ช่วงปี 1500 โดยประมาณ Oruc และน้องคนเล็ก IIyas เริ่มขยายเส้นทางการเดินเรือไปไกลจนถึงทะเล อีเจียน แม้ว่า Oruc จะพยายามสุดความสามรถทั้งด้านการเดินเรือและการฝึกภาษาที่จำเป็นทั้ง อิตาลี ,สเปน ,ฝรั่งเศส แต่ด้วยเส้นทางเดินเรือที่เปิดกว้างทำให้มีบ่อยครั้งต้องปะทะกับเรือสัญชาติอื่นจนในที่สุด IIyas น้องคนเล็กก็ถูกฆ่าโดยอัศวินของศาสนจักรเรือของพวกเค้าถูกทำลายส่วนตัว Oruc ถูกจับเป็นเชลยและถูกคุมขัง นานกว่า 3 ปี จนกะทั่งน้องชายคนที่3 ซาราดินสืบรู้ที่คุมขังพี่ชายของเค้าและเดินทางไปช่วยออกมาได้หลังจากนั้น พวกเค้าได้หลบหนีไปยัง อันตัลยา อาณาจักรออตโตมัน และได้รับหน้าที่สำคัญจากเจ้าชาย Shehzade ให้ช่วยว่าการคอยให้คำปรึกษาในการรับมือกับ ทัพเรือของศาสนจักร
ในปี 1504 Oruc พร้อมด้วยน้องของเค้าและเรือ 3 ลำ เดินทางไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและได้ติดต่อกับสุลต่านจาก ตูนิเซีนเพื่อขอใช้พอร์ต La Goulette เพื่อขนส่งสินค้าและตั้งเป็นท่าเรือโดยเสนอให้แบ่งผลกำไรให้ 1 ใน 3 ในช่วงปี 1509 พี่ชายคนโต Ishak ได้เข้าร่วมกับน้องชายทั้งสองของเค้าที่พอร์ต La Goulette ความแข็งแกร่งและเกรียงไกลของทั้งสามยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆจนได้รับฉายาในหมู่ชาวสเปนและอิตาลีว่า บาบารอสซ่าที่ แปลว่า เคราแดง(Red Bedbeard)
ในปี 1510 – 1514 สามพี่น้องเริ่มบุกเข้าโจมตีท่าเรือทางใต้ของอิตาลี และเริ่มขับไล่พวกสเปน จากดินแดนในอาณาคม ในหลายพื้นที่ การต่อสู้ของทั้งสามพี่น้องเพื่อปลดปล่อยดินแดนในอาณานิคมของพวกสเปน เริ่มยากลำมากขึ้นเมื่อ Oruc ต้องเสียแขนข้างหนึ่งไปขณะการรบจนได้ฉายาใหม่ว่า (แขนเงิน - Silver Arm)
ในปี 1516 ทั้งสามเข้าโจมตีป้อมปราการใหญ่ของสเปนในแอลเจียและสามารถยึดปราสาทมาเป็นของพวกตนได้สำเร็จและตั้งตนเป็นสุลต่านแห่งแอลเจีย ทำให้พวกสเปนจำเป็นต้องหาพันธมิตรใหม่ในการรับศึกนี้ โดยพระเจ้า ชาร์ลส์ ที่5 (Charles V) แห่งสเปนได้ส่งสารไปขอความช่วยเหลือจากจักพรรดิโรมัน เมื่อทราบข่าวถึงกองทัพร่วมของพวกสเปนที่กำลังยกทัพมาถึง Oruc และพี่น้องจำเป็นต้องหาทางรับมือศึกในครั้งโดยมองว่าศึกนี้เป็นศึกครั้งใหญ่ที่มี ศาสนาเป็นเดิมพันธ์การพ่ายแพ้เป็นเรื่องที่ต้องไม่เกิดขึ้น พวกเค้าจึงยอมสละเมืองและตำแหน่งของตนเพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรออตโตมันเพื่อให้ได้กำลังทหารและปืนใหญ่ในการคุ้มกันเมือง
ในปี 1518 พฤษภาคม ศึกครั้งใหญ่ก็เริ่มต้นปะทุขึ้น จักรพรรดิ ชาร์ลส์ที่ 5 แห่งสเปนคุมกองทัพ กว่า 10,000 คน เดินทางมาถึง Oran และเดินเท้าต่อมาจนถึงป้อมปราการของ Tlemcen ที่ซึ่ง Oruc และพี่ชายคนโต Ishak ตั้งมั่นอยู่โดยมีกำลังทหารภายในป้อมเป็นชาว ตุรกี 5,000 คน และแขกมัวร์อีก 1,500 คน แต่ด้วยกำลังที่น้อยกว่าครึ่งพวกเค้าต้านการบุกอย่างหนักหน่วงได้เพียง 20 วันป้อมก็แตกทุกคนถูกฆ่าตายหมดรวมทั้งสองพี่น้องด้วยโดยภายหลังการตายของผู้เป็นพี่ ตำแหน่งของผู้เป็นพี่ Oruc ถูกสืบต่อไปยัง น้องชายคนที่สามซึ่งเป็นคนสุดท้ายของตระกูล ในชื่อ “มหาอำมาตย์แห่งแอเจีย ฮาริดดิน บาบารอสซ่า”
Heyreddin Pasha |
ฮาริดดิน (Heyreddin) ในวัยย่าง 40 ปี หลังผ่านศึกกับพวกสเปนในปี 1518 ซึ่งในครั้งนั้นเค้าต้องเสียพี่ชายทั้งสองไปในสงครามและต้องเสีย แอลเจียให้พวกสเปนไปแม้ตัวเค้าจะสามารถหนีรอดไปได้ แต่ก็แค้นใจอยู่มากจึงรวบรวมไพร่พลกลับมาตีเอาแอลเจียคืนกลับมาได้ในเวลาเพียงไม่นานนัก และ ได้ตั้งตนขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งแอลเจียอย่างเต็มตัว ในปี 1518 นั่นเองหลังจากที่พี่น้องทั้งสามของ ซาราดิน เสียชีวิตไปหมดแล้วจากฝีมือของพวกคริสเตียน ความโกรธแค้นในใจยังคงครุกรุ่นไม่เสื่อมครายโดยมีความมุ่งมั่นหลักในการปลดปล่อยดินแดนของพวกมุสลิมให้พ้นจากพวกตะวันตกให้ได้
ช่วงปี 1518 – 1540 เป็นช่วงปีที่ชื่อของซาราดิน โด่งดังเป็นอย่างมากจากความสำเร็จในการปลดปล่อยดินแดนของชาวมุสลิมในหลายพื้นที่ และยังเข้าโจมตีเมืองในยุโรป นับ 10 แห่ง ทั้งสเปน อิตาลีและทางใต้ของฝรั่งเศสอยู่หลายครั้ง จนเป็นที่หวั่นเกรงกันไปทั่วทั้งยุโรป จนถูกชักชวนจากกษัตริย์ในหลายประเทศให้เข้าสวามิภักดิ์ แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เค้าจะคิดไตร่ตรองถึงข้อเสนอ เพราะความจงรักภักดีที่มีต่อจักวรรดิออตโตมัน เอย่างไม่เสื่อมคลายค้าจึงปฏิเสธทุกครั้ง
ในปี 1541 การรบที่ยืดเยื้อ ระหว่าง ซาราดินและอาณาจักรสเปนเริ่มบานปลาย จนกกษัตริย์ ชาลร์สที่ 5 จากสเปน ยื่นข้อเสนอครั้งใหญ่เพื่อให้ซาราดินกลับข้างมาอยู่ฝ่ายสเปน โดยแลกกับ ตำแหน่งพลเรือตรีและให้ยกดินแดนในทวีปแอฟริกาให้เค้าปกครอง แต่ก็ถูกปฏิเสธอีก
ในช่วงบั้นปลายชีวิต ในปี 1545 ซาราดินใช้ชีวิตอย่างสงบในคอนสแตนติน โดยส่งมอบตำแหน่งและบรรดาศักดิ์ทั้งหมดที่มีให้กับลูกชาย ฮาซาน ปาชา(Hasan Pasha) เป็นผู้สืบทอดต่อ ส่วนตัวเค้าเองใช้เวลาว่างเขียนชีวประวัติของเค้าเอง เป็นหนังสือจำนวนหลายเล่ม แต่หลังจากนั้นเพียงปีเดียวซาราดินกก็เสียชีวิตในพระราชวังริมทะเลทราบใกล้อิสตันบลู
............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น